|
Sep 28, '08 7:03 AM
สำหรับ ทุกคน
|
พอดีไปเจอมา จากมติชน
เปิดคำให้การ "โจร" ขุดวัดราชบูรณะ ขโมย "มหามงกุฎ"
หมายเหตุ : จากกรณีคณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงวัฒนธรรม หาวิธีการนำมงกุฎโบราณที่แสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์อาเซียนอาร์ต นครซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา กลับคืนประเทศไทย เพราะเชื่อว่ามงกุฎดังกล่าวนั้นอาจเป็นมงกุฎสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 อยู่ในกรุวัดราชบูรณะ จ.พระนครศรีอยุธยา ที่มีการโจรกรรมออกไปเมื่อ 48 ปีที่แล้ว
ต่อไปนี้เป็นคำให้การของคนร้ายที่ร่วมกับพวกขุดสมบัติฝังอยู่ในกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ
"ผมได้คิดขุดตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน พ.ศ.2500 ได้คิดกับพวก 20 คน ว่าเราไปขุดกันในวันที่ 25 เถิด เพราะวันนั้นไม่มีคนพลุกพล่าน พอเวลาเย็นวันที่ 25 ผมกับพวก 20 คน พร้อมกันเริ่มทำงานในเวลาทุ่มเศษ ได้เอาเหล็กปลายแหลมเหมือนเหล็กขูดชาฟต์ 3 อัน พร้อมกับเชือกมนิลาหนึ่งเส้นยาว 4 วา แล้วค้อน 8 ปอนด์หนึ่งอัน ขุดที่กรมศิลป์ได้กลบเอาไว้
ขุดศิลาขึ้นมาลึกลงไปประมาณ 1 วาเศษ เห็นศิลาทำเป็นวงกลมไว้ในระยะกลางใจตัวพระปรางค์ เห็นปล่องทำด้วยเนื้อโลหะเป็นวงกลมขนาดเท่าลำไม้ไผ่อย่างใหญ่ ตอนกลางต้องขุดลงตามปล่องลงไปประมาณ 3 เมตรเศษก็สุดปล่อง ได้พบปูนเพชรทำอย่างชนิดแข็งมากทำเป็นวงกลมมีรูตรงกลาง แล้วปล่องอยู่ในรูนั้น ได้ถอดเอาปล่องนั้นออก แล้วจึงได้เปิดเอาปูนเพชรนั้นออก ได้พบซุ้มลวงเป็นรูปสี่เหลี่ยม ตอนมุมสี่เหลี่ยมมีรูทางทิศตะวันออก รูกว้างในราว 4 นิ้วเศษ เป็นแผ่นหินอ่อนปิดอยู่กว้างเท่ากับตัวกรุหนาในราว 2 คืบ
ผมได้เอาค้อน 8 ปอนด์ตีลงไป ได้ตีอยู่เป็นเวลา 3 ชั่วโมงเศษ จึงได้ทะลุลงไป ผมใช้ไฟฉายฉายลงไปดูในกรุนั้น เห็นเป็นเครื่องทองพอทะลุลงไปเป็นรูปกรุสี่เหลี่ยม ทำด้วยศิลาเอาปูนทาไว้ แล้วเขียนเป็นภาพน้ำมันพอลงไปข้างล่าง
ผมจึงใช้ให้เพื่อนของผมอีกคนหนึ่งลงไปข้างล่าง ที่ข้างล่างนั้นมีโต๊ะสำริด 3 ตัว ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกตัวหนึ่ง ทางทิศเหนือตัวหนึ่ง ทางทิศใต้ตัวหนึ่ง ตอนกลางของตัวกรุนั้นทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมกว้างในราว 1 วาเศษ ข้างบนแท่นศิลาตรงกลางกรุนั้นมีถาดทองคำ 3 ใบ ข้างบนถาดนั้นมีกระโถนทองคำ 4 ใบวางอยู่บนถาดนั้น มีไข่มุกเจาะเป็นรูปอยู่เต็มกระโถนทั้งสี่ลูกนั้น ยังมีตลับทองคำอีกหลายใบวางอยู่ข้างแท่นสี่เหลี่ยมนั้น เป็นร่องสี่เหลี่ยมเหมือนกันมีแหวนประมาณ 2,000 กว่าวง เพราะในนั้นกว้างมาก
ข้างบนของแท่นนั้นมีโต๊ะสำริด 3 ตัว บนโต๊ะนั้นทางทิศเหนือมีพระแสงทองคำปักไว้ข้างขอบโต๊ะนั้นทางเหนือ บนโต๊ะทางเหนือมีเสื้อทองคำอยู่ 8 ตัว และมหามงกุฎอีกอันหนึ่ง กว้างประมาณ 1 ศอก สูง 2 ศอกเศษ บนยอดของมหามงกุฎมีหัวมุกดาหาร 1 หัว ขนาดเท่าไข่ห่าน มีจอกทองคำหลายลูกเป็นทองคำประดับด้วยทับทิม และมงกุฎพระราชินี 3 อันวางไว้บนโต๊ะนั้น ตลับทองคำ 12 ใบ ฝาตลับมีหัวทับทิมหัวใหญ่เท่าเม็ดข้าวโพดทุกใบ บนโต๊ะทางทิศตะวันออกมีมหามงกุฎราชินี 5 อันวางไว้ข้างบนโต๊ะนั้น และตลับทองคำหัวประดับทับทิม 20 ใบ จอกหลายใบ เสื้อทองคำของพระมหากษัตริย์ 3 ตัว เรือหงส์ 1 ลำเป็นทองคำ คนพายเรือทองคำและพระพุทธรูปทองคำ 20 องค์ กระบวยทองคำ 8 อัน โหล 4 ใบทำด้วยหินสีขาว พร้อมม่านทองคำขึงท้องพระโรงก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง
โต๊ะทางทิศใต้ ข้างบนโต๊ะมีพระพุทธรูปทองคำ 25 องค์ ตลับทองคำ 13 ตลับ ฝาตลับประดับด้วยทับทิมสีแดง พระแก้วยืนสีน้ำผึ้ง 7 องค์ พระแก้วนั่งสีขาว 5 องค์ พระมหามงกุฎราชินี 8 อัน พระแก้วมรกต 4 องค์ ทางด้านทิศตะวันตกผ้าพับไว้อย่างดีมากมาย เมื่อไปถูกเข้าก็ป่นเป็นผงไปหมดแล้ว มีพระทองคำ 3 องค์หน้าตักกว้าง 1 ศอก ตันด้วย หนักในราวประมาณ 4 กิโลกรัม พระนาคนั่ง 12 องค์ หน้าตักกว้าง 1 คืบเศษ พระพุทธรูปทำด้วยทอง นาก เงิน 8 องค์ พระปั้มทองและเงิน 2 กระสอบ พระแก้วยืน 16 องค์ สีขาว มีพระราชรถหนึ่งคัน มีม้าเทียมคู่หนึ่งทำด้วยทองคำ มีขวด 6 ลูกทำด้วยหินสีขาว มีแหวนในนั้นเต็มขวด และเศษทองคำอีกมากมายประมาณ 10 กระสอบ
พอเห็นของพวกนี้แล้ว พวกเราพูดกันว่าพวกเรารวยกันแล้ว ตั้งแต่เริ่มทำงานมาได้ใช้เทียนไขจุดส่องดูในกรุนั้น เพราะเทียนไขแสงสว่างดีกว่าอย่างอื่น ได้ลำเลียงส่งของอยู่เป็นเวลา 4 ชั่วโมงเศษ ได้เริ่มขุดเป็นเวลา 2 คืนครึ่ง ขนของขึ้นยังไม่ทันหมดดี เพราะพวกข้างนอกเอาของที่ลำเลียงไปไว้ที่บ้านหมดเหลือคนอยู่ในกรุ 2 คน
ผมเห็นว่าไม่ค่อยดีจึงให้คนทั้งสองขึ้นกันหมด เพราะขณะนั้นฝนตกมาก หนทางที่ขึ้นนั้นรอบต้นไม้ยังเห็นเป็นรอยเท้ามากมาย ขณะที่คนทั้งสองขึ้นของยังไม่หมด เพราะแหวนยังอยู่อีกมาก หัวทับทิม เศษทอง และรูปช้างม้าทองคำยังอยู่อีกมากมาย หัวทับทิมก็ยังอยู่อีกมากมาย
คนทั้งสองเห็นว่าจะเสียท่าพวกข้างบน จึงได้รีบขึ้นมาจากกรุตรงไปที่บ้านคนที่อยู่ทางข้างเจดีย์เจ้าอ้าย เจ้ายี่ ของทั้งหมดนี้ได้แบ่งกันคนละ 2 กิโลครึ่ง พวกไปขุดด้วยมีด้วยกัน 20 คน เช่น มีพี่น้องก็ไปบอกให้มาเอาส่วนแบ่ง กลายเป็นคนได้รับส่วนแบ่งรวม 30 กว่าคน ถึงกับจะฆ่าจะแกงกัน พอของมาถึงบ้านแล้วได้จดรายชื่อไว้ แล้วเอากิโลมาชั่ง แบ่งของกันจำพวกมหามงกุฎหรือของใหญ่ๆ ไม่ได้แบ่งกัน ของที่เหลือ เช่น พระแสง ราชรถ เรือหงส์ ของอย่างอื่นอีกหลายอย่างที่กอบเอาไว้ เพราะของที่แบ่งกันนั้นได้ไปหมดทุกคนแล้ว
มีคนอีกคนหนึ่งได้ยืนขึ้นบอกว่า เอาอย่างไรก็เอากันเถอะ พวกทั้ง 30 กว่าคนได้ชักมีดชักปืน ต่อจากนั้นมาก็เลยแย่งกันจนล้มไปทับเอาเด็กเล็กๆ ที่อยู่ในบ้านนั้นร้องขึ้น พอได้รับส่วนแบ่งแล้ว เอาห่อผ้าขาวม้าคนละสองห่อ พอมาตามทางที่ได้พบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้จับกุมไว้ได้บ้างและหนีหลุดรอดไปได้บ้าง พอรุ่งเช้าวันที่ 28 ตำรวจก็ได้มาจับกุมหัวหน้าคุมขุดกรุวัดราชบูรณะ ซึ่งพอได้มหามงกุฎมาถึงบ้านแล้วก็เอามาสวมใส่แล้วถือพระแสงดาบออกมารำเล่นพร้อมกับลูกชายแถวๆ ตลาดหัวรอ ตำรวจไล่จับข้าวของตกเรี่ยราดตามถนน พวกชาวบ้านเก็บได้กันก็มากมาย บางคนถึงแก่ไปขายแล้วปลูกบ้านได้อย่างใหญ่โตก็มี บางคนแทบจะเป็นบ้าเป็นหลังไปเพราะความเสียดายของที่ได้มาแล้วไปฝากพี่น้องไว้ เขายักยอกเอาไปจนเกือบหมด ที่มาเป็นของกลางนั้นนิดหน่อย..." "ลิ เกษมสังข์" ย้อนอดีต"ล่า"มหาสมบัติ
*หมายเหตุ* : คำให้สัมภาษณ์ของนายลิ เกษมสังข์ อายุ 78 ปี ชาว ต.ธนู อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นหนึ่งในชุดขุดกรุโบราณสถานวัดราชบูรณะ
"...เดิมมีอาชีพรับจ้างทั่วไป เคยไปทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ แต่ตอนหลังกลับมาบ้าน ช่วงประมาณปี 2499 ได้ร่วมกับเพื่อนๆ อีก 20 คน เข้าไปที่บริเวณโบราณสถานวัดราชบูรณะ ขณะนั้นมีสภาพเป็นป่ารกชัฏมาก ขาดการดูแล
ที่เข้าไปขุดค้นเพราะต้องการอยากจะได้พระเครื่องเก่าเช่นเดียวกับการขุดกรุทั่วไป โดยเริ่มขุดตั้งแต่เวลา 20.00 น. วันที่ 27 ตุลาคม 2499 บรรยากาศตอนนั้นจู่ๆ ก็มีลมฝนตกกระหน่ำอย่างแรงแบบไม่มีเค้า และน้ำท่วมพื้นด้านล่างสูงเกือบถึงหน้าแข้ง เมื่อขึ้นไปถึงชั้นบนของพระปรางค์ก็ใช้ชะแลงงัดเข้าไป และเพื่อนๆ พากันลงไปด้านล่างตรงกลางองค์พระปรางค์ แต่ไม่พบอะไร
เมื่อเพื่อนบอกว่าไม่พบอะไร ลุงจึงลงไปในองค์พระปรางค์บ้าง และมีความรู้สึกว่าแผ่นหินที่ลุงเหยียบอยู่เหมือนเป็นแผ่นศิลาที่ปิดเอาไว้เฉยๆ จึงได้ช่วยกันยกออก และทุกคนก็ต้องตกตะลึงเพราะพบสิ่งของภาชนะ พระพุทธรูป เครื่องอาภรณ์สีเหลืองอร่ามมากมาย รวมทั้งยังมีพระแสงดาบและมงกุฎ ลุงตกใจมากเนื่องจากรู้ว่าต้องเป็นของกษัตริย์แน่นอน ไม่ใช่ของคนธรรมดา แต่เพื่อนๆ เห็นว่าไหนๆ ลงมาแล้วก็ต้องเอา โดยลุงได้หยิบมาเพียงเครื่องทองเล็กๆ น้อยๆ ส่วนเพื่อนๆ แบ่งกันไปจนหมด โดยใช้เวลาเกือบ 3 วันจึงนำสิ่งของที่ได้ออกมาจนหมด ส่วนพระแสงดาบนั้นไม่มีใครเอาไป จึงทิ้งเอาไว้ที่ต้นไม้ และต่อมาก็ไปอยู่ในพิพิธภัณท์เจ้าสามพระยา
ทรัพย์สินที่นำไปนั้น บางส่วนถูกตามนำกลับมาได้ หลังจากที่เพื่อนๆ 8 คนถูกจับกุม ส่วนที่เหลือใช้ชีวิตระหกระเหิน เงินที่ได้จากการขายสมบัติก็ใช้สำหรับการหลบหนี ในที่สุดเพื่อนๆ ที่เคยร่วมทีมก็เสียชีวิตไปเกือบหมดแล้ว เหลืออยู่อีกคนชื่อ "วิ" แต่นอนรักษาตัวเจาะคอเพราะพูดไม่ได้ ส่วนลุงได้ไปขอขมาและพยายามทำบุญ เพราะที่ผ่านมาชีวิตไม่ได้มีความสุข ต้องเข้าเรือนจำด้วยเรื่องต่างๆ 7 ครั้ง ครอบครัวก็ไม่มีความสุข เชื่อว่าเป็นผลมาจากการที่ก้าวล่วงนำของกษัตริย์ไป
เชื่อว่ามงกุฎกษัตริย์ที่จัดแสดงอยู่ที่สหรัฐ เป็นของที่กลุ่มพวกลุงออกมาจากกรุ แล้วมีการขายต่อๆ กันไป จนไปอยู่ในมือของต่างชาติ จึงอยากให้คนไทยช่วยไปเอากลับคืนมาไว้ที่อยุธยาเหมือนเดิม" นายลิกล่าว
ก่อนหน้า: วันนี้วันครู
เครดิตhttp://hayyana.multiply.com/journal/item/74?&show_interstitial=1&u=%2Fjournal%2Fitem
|