พระผงหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา
หลวงตาม้า วัดถ้ำเมืองนะสร้าง
ชื่อว่า “ศิษย์” ย่อมต้องมี “ครู” ด้วยกันทั้งนั้น บ้างก็ครูดัง ศิษย์ดับ บ้างก็ครูดังศิษย์ดัง อย่างเช่น พระเดชพระคุณพระราชวุฒาจารย์ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ผู้เป็นครูดี และหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ผู้เป็นศิษย์ดัง
ก็ใช่ว่าจะมีเพียงสำนักวัดป่าเท่านั้น ที่ถึงพร้อมด้วยพระสุปฏิบัติเช่นนี้ จังหวัดภาคกลางของเราก็ยังมีผู้สืบเชื้อสายของความดีอยู่มากเอ่ยชื่อ หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการาม ใคร ๆ ก็รู้จัก แต่มีผู้ศรัทธาคิดจะหาเหรียญของท่านละก็ต้องคิดหนัก เพราะของปลอมมีมากกว่าของจริงเสียอีก อย่าเพิ่งน้อยใจในวาสนาเลยครับ ด้วยพระเครื่องที่ดีมีพุทธคุณสูงยังพอหาได้อยู่ แม้จะเป็นชั้นศิษย์ แต่ผมเชื่อว่าไม่น้อยหน้าครูแน่นอน
ท่านผู้นี้คือ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ แห่งวัดสะแก เมืองกรุงเก่านั่นเอง ท่านเป็นศิษย์ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาหลาย ๆ อย่างจากหลวงพ่อกลั่น ผู้เป็นอุปัชฌาย์ แต่น่าประหลาดอยู่อย่างว่าหลวงพ่อกลั่น กลับไม่ยอมสอนการเจริญภาวนาให้ตรง ๆ คงบอกเพียงว่าให้ท่านภาวนา พุทโธ ไป เรื่อย ๆ เบื้องแรกก็ไม่มีใครเข้าใจว่าเพราะอะไร ครั้นมาภายหลังจึงทราบว่า หลวงปู่ดู่ ได้ค้นพบองค์ภาวนาด้วยจิตใจของท่านเอง โดยท่านใช้ “ไตรสรณาคมน์” เป็นคำบริกรรม นี้จะแสดงถึง “อนาคตังสญาณ” โดยหลวงพ่อกลั่นใช่หรือไม่ คงต้องขอให้ท่านพิจารณาเองหลวงปู่ดู่ได้เริ่มสร้างพระ รวมถึงวัตถุมงคลในแบบต่าง ๆ มานานมากพอจะสืบได้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2484 เรื่อยมา พระเครื่องและวัตถุมงคลของท่านจึงมีมากมายหลายหลาก เมื่อศิษย์เรียนถามท่านว่า ทำไมท่านสร้างพระเยอะมาก ท่านตอบว่า “จิตใจเราจะได้อยู่กับพระ ดีกว่าสวดมนต์ทิ้งไปเปล่าๆ” ซึ่งเรื่องผูกใจให้อยู่กับพระนั้นท่านจะเน้นมาก ถึงขนาดเปิดไฟฟ้าใช้ ท่านก็ให้ภาวนาว่า “โอม อัคคีไฟ พุทธบูชา ธัมมบูชา สังฆบูชา” ท่านย้ำ “แค่นี้ก็ได้บุญแล้ว”
พระผงหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เนื้อปูน เกิด "พระธรรมธาตุ"“พระผงของท่านนั้นมิได้มีแต่ผงต่าง ๆ หากท่านยังผสมด้วยเส้นเกศาของท่านไว้เป็นจำนวนมากในทุก ๆ ครั้งที่มีการสร้างพระ เพราะเส้นเกศานั้นเองที่มีพลังงานบริสุทธิ์จากองค์ท่านเป็นอย่างสูงประจุ อยู่ในพลังงานนั้นก็ยังมี “เตโชธาตุ” (ธาตุไฟ) รวมอยู่ด้วยครั้นผสมกันไปได้ระยะเวลาหนึ่ง “ซิลิกอน” ซึ่งมีอยู่ในปูนก็ได้ถูกพลังงานความร้อน (ที่มีสภาวะเป็นทิพย์) ในเส้นเกศาของท่านเหนี่ยวนำให้ “ซิลิกอน” เกิดการควบแน่นและตกผลึกขึ้น จากนั้นก็จะค่อย ๆ ผุดขึ้นจากองค์พระมาเป็น “พระธรรมธาตุ” ดังที่เราเห็นกันอยู่ และนี่คือที่มา”
พระที่มีพระธรรมธาตุเป็นที่ต้องการอย่างสูงของบรรดาศิษย์ทั้งหลายทั้งปวง
ความแปลกของพระเครื่องหลวงปู่ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น องค์ที่ไม่มีพระธรรมธาตุจะทำให้เกิดมีขึ้นก็ได้ องค์ที่มีอยู่แล้วกลับหายไปหมดก็เคยปรากฏ อยากให้มีก็สวดมนต์ไหว้พระและภาวนามาก ๆ ก็จะ “ผุด” ขึ้นมาเป็นกำลังใจสำหรับคนทำจริง แต่มากน้อยเท่าไรนั้นผมขอโยนกลองให้เป็นเรื่องของ “บารมี” ก็แล้ว
บทความนี้ได้ตีพิมพ์เมื่อ วันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2539
ประวัติอุปสมบท
อายุครบ ๒๑ ปี ท่านจึงได้เข้าพิธีบรรพชาอุปสมบท เมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ ตรงกับวันอาทิตย์ แรม ๔
ค่ำ เดือน ๖ ณ วัดสะแก ตำบลธนู อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีหลวงปู่กลั่น เจ้าอาวาสวัดพระญาติกา
ราม เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงปู่แด่ เจ้าอาวาสวัดสะแก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงปู่ฉาย วัดกลางคลองสระบัว
เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า
“พรหมปัญโญ ภิกขุ” ในพรรษาแรก ๆ ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมที่วัดประดู่ทรงธรรม (สมัยนั้นเรียกวัดประดู่โรงธรรม) พระอาจารย์ผู้สอนคือ ท่านเจ้าคุณเนื่อง, พระครูชม และหลวงปู่รอด (เสือ) เป็นต้น ในด้านการปฏิบัติพระกรรมฐาน ท่านได้รับการสอนจากหลวงปู่กลั่น ผู้เป็นพระอุปัชฌายาจาและหลวงปู่เภา ศิษย์องค์สำคัญของหลวงปู่กลั่น ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาของท่านเอง นอกจากนี้ท่านยังได้ไปศึกษากับพระ
อาจารย์ฝ่ายกรรมฐานอีกหลายรูป ที่จังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดสระบุรี ประมาณพรรษาที่สาม หลวงปู่ดู่จึงออก
เดินธุดงค์เดี่ยว
หลวงปู่ดู่ท่านได้ถือศีลข้อวัตร คือฉันอาหารมื้อเดียวมาตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ. ๒๕๐๐ แต่ภายหลังคือประมาณปี พ.ศ.
๒๕๒๕ เหล่าสานุศิษย์ได้กราบนิมนต์ให้ท่านฉัน ๒ มื้อเนื่องจากความชราภาพ ประกอบกับต้องรับแขกมากขึ้นท่าน
จึงได้ผ่อนปรนตามความเหมาะสมแห่งอัตภาพ แต่เมื่อถามความเห็นจากท่านจึงทราบว่า ท่านต้องการโปรดญาติโยม
จากที่ไกลๆ จะได้มีโอกาสทำบุญ
-
ในวันที่หลวงปู่ละสังขาร
ข่าวหลวงปู่ละสังขารนั้นได้แพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว สมัยนั้นยังไม่มี Internet อย่างทุกวันนี้ ส่วนใหญ่จึงเป็นการโทรบอกกันเป็นทอด ๆ ซึ่งทุกคนเมื่อทราบข่าว ก็พร้อมใจกันลางาน รีบเร่งเดินทางไปวัดสะแกทันที
บรรยากาศที่วัดสะแกในวันนั้น ดูไม่เหมือนกับวันก่อน ๆ เลย
บางคนสะเทือนใจ ไม่อาจยืนทรงตัวอยู่ได้ ก็กอดต้นไม้ ร้องไห้โฮออกมาอย่างไม่อายใคร
บางคนบางกลุ่มก็ง่วนอยู่กับการเช่าพระ จนบ่ายวันนั้น พระเครื่องพระบูชาชนิดต่าง ๆ ก็ไม่มีเหลือ บางคนบางกลุ่มก็ง่วนอยู่กับการตักน้ำมนต์ในตุ่ม เสียงเสีนดสีของขันกับขอบตุ่มได้ยินชัดเจน
บางคนบางกลุ่มก็มาปลงธรรมสังเวช ระลึกถึงความดีความเมตตาของหลวงปู่
บางคนบางกลุ่มก็ประชุมตระเตรียมงานศพของหลวงปู่ ฯลฯ
เป็นจริงดังที่หลวงปู่พยากรณ์ไว้แล้วว่า "หากข้าจากไป แม้แต่ผ้าขี้ริ้วก็ไม่เหลือ"
แม้ว่าหลวงปู่จะบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นระยะเวลานานนับเดือน แต่ลูกศิษย์จำนวนไม่น้อยก็ยังไม่อาจทำใจได้
ผ่านไป 2 วัน ศพหลวงปู่ก็ยังคงนุ่มนิ่ม ไม่มีอาการเลือดตก ข้อมือข้อเท้า ยังคงงอได้
บางคนรอปาฏิหาริย์ให้หลวงปู่ฟื้นขึ้นมา แต่สัจจะความจริงก็ย่อมเป็นความจริงอยู่อย่างนั้น ใครเลยจะฝืนกฏแห่งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้
|