“ผ้ายันต์” วัตถุมงคลอีกชนิดหนึ่งที่เป็นภูมิปัญญาของคนโบราณที่ครูบาอาจารย์ต่างๆท่านได้คิดและกลั่นกรองในการหาวัสดุที่หาได้ง่ายๆและจัดสร้างให้ลูกศิษย์ทุกสำนักต่างๆได้บูชาใช้กัน ไม่ว่าจะพกติดตัว ทำเป็นผ้าประเจียด หรือเขียนรูปแบบ หรือักขระคาถาอาคมติดบูชาไว้กับบ้านเรือน ซึ่งผ้ายันต์ของแต่ละสำนักและครูบาอาจารย์ก็จะแตกต่างกันออกไป และก็แล้วแต่ว่า พ่อครู ท่านจะเขียนยันต์อะไรให้และบูชาเพื่อให้เกิดพุทธคุณแบบใด ผลที่ออกมาเป็นแบบใด และอาจจะไม่ตายตัวเสมอไปว่าใครจะเป็นคนสร้างหรือเจ้าตำหรับ เพราะตำราการสร้างยันต์ทั่วประเทศไทยหรือแม้แต่ประเทศเพื่อนบ้านก็มีการสร้างผ้ายันต์มากมายหลายชนิดโดยการสืบทอดจากครูบาอาจารย์รุ่นเก่าก่อนสู่คนรุ่นปัจจุบันที่ยังคงมีการสืบทอดอนุรักษ์วิชาอาคมและอักขระเลขยันต์อยู่ ส่วนยันต์ที่ผมได้นำมาลงให้ท่านผู้ติดตาม “ธันชนก ร้านอักษรธรรม ” มาให้อ่านกัน คือที่เกี่ยวข้องกับครูบาขันแก้ว อุตตฺโม แห่งวัดสันพระเจ้าแดงเท่านั้น ก็คือผ้ายันต์ที่มีการสร้างปลุกเสกอย่างเป็นทางการของครูบาขันแก้วเอง และมีการออกให้ทำบุญและแจกอย่างเป็นทางการ ในปัจจุบันหลายๆคนมองข้ามไปผ้ายันต์ของครูบาขันแก้วไป เพราะในเชิงพาณิชย์ ผ้ายันต์ของครูบาขันแก้วแทบจะไม่มีราคาค่างวดเท่าไหร่เมื่อเทียบกับผ้ายันต์หลายๆที่ แต่..........คุณค่าของผ้ายันต์ของครูบาขันแก้วไม่ได้อยู่ที่ราคา แต่อยู่ที่ความเมตตาเจตนาที่ครูบาท่านอยากให้ลูกศิษย์ได้บูชาสิ่งที่วิเศษกันจริงๆ ด้วยอำนาจจิตของครูบาขันแก้วที่ปลุกเสกบวกกับ คุณวิเศษในอักระยันต์ที่ได้สร้างไว้...ผมขอย้อนความหลัง และตีความหมายของยันต์กันดีกว่าเพื่อที่จะได้เข้าใจถึงเจตนา ของครูบาขันแก้ว และ อาจารย์หมอสมสุข คงอุไรอาจารย์ใหญ่ของคณะศิษย์รัศมีพรหมโพธิโกกัน ว่ายันต์ชนิดนี้ดียังไง
ผ้ายันต์ผืนนี้ชื่อว่า ผ้ายันต์พระเจ้าแดง ยันต์นวะภาทั้ง๙ สร้าง2ขนาด ผืนใหญ่3000ผืน และผืนเล็ก 3000ผืน สร้างถวายครูบาขันแก้วโดย อาจารย์หมอสมสุข คงอุไรแห่งคณะศิษย์รัษมีพรหมโพธิโก เมื่อปีพ.ศ.2521และได้ออกทำบุญผู้ร่วมงานผ้ากฐินครั้งแรกของวัดสันพระเจ้าแดง เมื่อปีพ.ศ.2521 ส่วนที่เหลือก็มอบให้ครูบาขันแก้วแจกทำบุญแก่ลูกศิษย์ลูกหาที่มาเยี่ยมร่วมทำบุญกับท่านครูบาขันแก้วเรื่อยมาจนกระทั่งครูบาขันแก้วมรณภาพลง
ยันต์นวะภาทั้ง๙ เป็นยันต์ที่คนล้านนาส่วนใหญ่รู้จักกันดี ว่ายันต์นี้มีพุทธคุณว่า เช่นกันไฟ กันภัยต่างๆ เป็นที่ร่มเย็นแก่เคหะบ้านเรือนผู้อาศัยที่เชื่อศรัทธาและเคารพกราบไหว้ยันต์นวะภาทั้ง๙นี้ แต่เหตุอันใดที่อาจารย์หมอสมสุข และครูบาขันแก้วให้สร้างยันต์นี้ ทั้งที่ครูบาขันแก้วท่านแตกฉานอักขระเลขยันต์ล้านนาชนิดเอกอุของล้านนาท่านหนึ่งเลยที่เดียว อีกทั้งท่านยังมียันต์ประจำตัวที่ทุกคนต่างก็รู้ว่ายันต์ประจำตัวท่านคือ “ยันต์ดาบสรี๋กัญชัยด้ามแก้ว” หรือไม่ก็ยันต์ “พุทธคุณนาม๑๐” หรือไม่ก็ “ยันต์อะหิหัสสะ” หรือ “ยันต์สุริยะประภา จัทระประภา”ซึ่งยันต์เหล่านั้นก็เป็นพญาแห่งยันต์ที่ตำราโบราณกล่าวถึงว่าพุทธคุณครอบจักรวาลเลยทีเดียว
ในคราที่อาจารย์หมอสมสุข คงอุไรท่านได้มากราบครูบาขันแก้ว เป็น1ใน5ครูบาอาจารย์แห่งคณะศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก เป็นผู้ถ่ายทอดการฝึกอานาปานสติ คือธรรมอันเอก และทางอันเอก แห่งบวรพุทธศาสนาที่กล่าวถึงการหลุดพ้นและข้ามพบฝั่งพระนิพพานโดยตามรอยพระบรมศาสดา และตามรอยพระพุทธศาสนา ซึ่งถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ อาจารย์หมอสมสุขท่านได้รู้หลักการนั้นอย่างแจ่มแจ้ง แทงตลอดถึงปัญญานั้นที่เหล่าครูบาอาจารย์ท่านได้แนะนำไปปฏิบัติจนได้ผลแห่งปัญญานั้น อาจารย์หมอสมสุขท่านรำลึกถึงคุณแห่งครูบาขันแก้วที่สั่งสอนเลยจึงคิดจัดสร้างวัตถุมงคลตอบแทนครูบาขันแก้ว และให้กับเหล่าบรรดาคณะศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก ตลอดจนผู้ที่ศรัทธาครูบาขันแก้วได้บูชาของวิเศษกันและในปี พ.ศ.2521นี้ อาจารย์หมอสมสุขได้จัดสร้างวัตถุมงคลหลายอย่าง เช่น พระรูปเหมือนผงฯพิมพ์เตารีด พระสมเด็จฯผงแก้วสามดวง เหรียญโภคทรัพย์ และผ้ายันต์นวะภาทั้ง๙นี้ขึ้นมาโดยท่านได้ไปปรึกษากับครูบาขันแก้ว ว่าอยากจะสร้างผ้ายันต์ให้ทุกคนนำไปบูชาและติดบ้านเรือนเพื่อผลแห่งพุทธคุณอันสูงสุดที่ลูกศิษย์ครูบาขันแก้วนำไปกราบไหว้บูชากัน ครูบาขันแก้วจึงเขียนรูปยันต์นวะภาทั้ง๙ ให้ไปเป็นต้นแบบในการจัดสร้างผ้ายันต์ และท่านได้บอกให้นำรูปพระเจ้าแดงพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำวัดมาประดิษฐาน ตรงกลางผ้ายันต์อีกด้วย
ยันต์นวะภาทั้ง๙นี้ กล่าวได้ว่าเป็นยันต์มาตรฐานของล้านนา ที่ทุกวัด ทุกสำนัก ทุกจังหวัดทางภาคเหนือต้องมีและรู้จัก ไม่ว่าจะเป็นครูบาอาจารย์ พ่อหนานจอมขมังเวทย์ในการก่อนท่านก็ได้สร้างไว้ติดตามบ้านเรือนเคหะเพื่อนเป็นสิริมงคลของบ้าน
นวะ ซึ่งแปลว่า “ 9 (เก้า)” คำว่า ภา มาจากคำว่า ประภา แปลว่า “แสงสว่าง” แล้วนำทั้งสองคำนี้มาผสมคำกันจึงอ่านได้ว่า นวะภา แต่เรามักจะเรียกไปตามรูปที่ตามองเห็นเป็นรูปวงกลม ที่มี9ดวง จนเรียกติดปากว่า “นวะภาทั้ง๙” แปลว่า “แสงสว่างทั้งเก้า”
แล้วจะรู้ได้ไง ความหมายของแต่ละดวงคืออะไร และทำไมต้อง๙ดวง จากการค้นตาราหลายๆที่ทั่วประเทศไทยยันต์ที่เป็นดวงกลมๆแบบนี้ทางภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคไต้ เขากุเลน (เขมร)สายเขาอ้อ สายประดู่ทรงธรรม เขาก็มีการเขียนยันต์แบบนี้เหมือนกัน แต่ของเขาจะแบ่งละเอียดปลีกย่อยกว่าทางภาคเหนือชัดเจน จากการเสาะหาข้อมูลเกี่ยวกับยันต์ดวงกลม ที่ตรงกลางเขียนว่า นะ วะ ภา ที่ใช้ร่วมกัน และเขียนคล้ายๆกัน ความหมายคล้ายคลึง หรือ เหมือนกัน มีมากถึงตั้ง๒๘ดวง ในส่วนทางภาคเหนือใช้แค่9ดวง ถือเป็น “หัวใจหลัก”ของพระยันต์นี้
ถ้ามองจากยันต์ที่คนโบราณเขาได้ผูกพระยันต์นี้ขึ้นเราจะรู้ได้ทันทีว่า คนที่ผูกอักระยันต์ นวะภาทั้ง๙ นี้ขึ้นคนแรกต้องแตกฉานในทางโลก และทางธรรมอย่างมาก ที่ผนวกปัญญาทางธรรมสื่ออกมาในรูปแบบของตัวยันต์ทั้ง๙ดวง
ในเชิงบุคลาธิษฐาน(ในทางโลก)ที่มีผลต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ยันต์นวะภาทั้ง๙ เปรียบเสมือนดวงดาวนพเคราะห์ที่หมุดเวียนผ่านกาลเวลาที่คนโบราณกล่าวไว้เป็นดาวนพเคราะห์ทั้ง9ดวง คือ 1.อาทิตย์ 2.จันทร์ 3.อังคาร 4.พุธ 5.พฤหัสบดี 6.ศุกร์ 7.เสาร์ 8.พระราหู 9.พระเกตุ ครบกำลังดวงดาวนพเคราะห์ทั้ง9 เพราะดวงดาวเหล่านี้ยังโคจรล้อมรอบและเกี่ยวข้องกับชีวิมนุษย์ตั้งแต่เกิด จนกระทั่งสิ้นชีวิตลง เมื่อยันต์ทั้ง9ดวงเปรียบเสมือนตัวแทนดาวนพเคราะห์ ท่านเลยคิดอักระยันต์ที่คนทั้งหลายได้บูชาเมื่อดวงตก เกิดพระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก การย้ายลัคนาทีมีผลต่อชะตาชีวิตมนุษย์มาอยู่ประจำดวงยันต์ทั้ง9 ท่านก็นำบท “มงคลจักรวาล” มาใส่ความหมายไว้แต่ละดวง ให้ผู้ที่เคารพบูชาเกิดมงคลประการต่างๆ ให้หายบรรเทาทุกข์แก่บุคคลที่ยังมีความทุกกายทุกข์ใจอยู่ เพราะด้วยอำนาจของดาวนพเคราะห์เสวยอายุนั่นเอง
ส่วนทางธรรมาธิษฐาน(ทางธรรม) ที่เป็นปัญญาทางธรรมะกล่าวถึง หลุดพ้น ที่เรียกว่าธรรมอันเอก และทางอักเอก หนทางแห่งพระนิพพานนั่นเอง คือ โลกุตตรธรรม9 ธรรมอันมิใช่วิสัยของโลก , สภาวะพ้นโลก 9 ประการ มีมรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1 ได้แก่
1. โสดาปัตติมรรค หนทางบรรลุเป็นพระโสดาบัน
2. โสดาปัตติผล การได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน
3. สกิทาคามีมรรค หนทางบรรลุเป็นพระสกิทาคามี
4. สกิทาคามีผล การได้บรรลุเป็นพระสกิทาคามี
5. อนาคามีมรรค หนทางบรรลุเป็นพระอนาคามี
6. อนาคามีผล การได้บรรลุเป็นพระอนาคามี
7. อรหัตมรรค หนทางบรรลุเป็นพระอรหันต์
8. อรหัตผล การได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
9. นิพพาน ก็คือ นิพพาน การก้าวพ้นการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ที่เรียกว่า “วัฏสงสาร”
เป็นที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนั่นเอง
เห็นไหมล่ะครับว่า ปัญญาของครูบาอาจารย์แต่การก่อนท่านได้คิด และผูกเป็นยันต์ขึ้นเพื่อประโยชน์แห่งผู้ที่เคารพกราบไหว้สักการะยันต์นี้ด้วยความเคารพอย่างเชื่อมั่น อีกทั้งยังแฝงด้วยปริศนาในธรรมอันยิ่งใหญ่ที่คนทั้งหลายในปัจจุบันมองข้ามไป(มีคำหนึ่งมี่ว่า ยันต์ต่างๆคือลายแทงขุมทรัพทย์ ที่ไม่ใช่เงิน ทอง แต่เป็นหนทางพระนิพพาน)
ยันต์นวะภาทั้ง๙ดวงนี้เกิดขึ้นในสมัยใดไม่อาจทราบประวัติที่มาได้ เพราะหลายๆวัด หลายๆสำนักท่านก็ได้สร้างผ้ายันต์นวะภาทั้ง๙แบบนี้เหมือนกัน เพียงแค่ หลายๆสำนักไม่ได้บอกในเชิงลึกเพียงแต่บอกว่าเป็นพุทธคุณอย่างนั้น พุทธคุณอย่างนี้เพราะครูบาอาจารย์แต่ก่อนสืบทอดมาเล่าแบบปากต่อปาก ผมก็แค่เจาะประเด็นเบื้องลึกของยันต์นวะภาทั้ง๙ให้อ่านกัน
ในส่วนพุทธคุณของยันต์นวะภาทั้ง๙ ท่านกล่าวไว้ว่าเมื่อสักการะบูชาเป็นนิจ ติดบ้านเรือนจะเกิดสิริมงคลทั้งหลายแก่เคหะสถานร่มเย็นเป็นสุขเปรียบเหมือนมีเทวดารักษาบ้านและเทวดารักษาตัวเคารพผู้บูชายันต์นี้ กันฟ้าผ่า ไฟไหม้ ภัยธรรมชาติทั้งปวง รวมไปถึงกันสิ่งชั่วร้ายอัปมงคลต่างๆที่จะเกิดขึ้น จะเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ เกิดยศ เกิดศรีสิริ เกิดบารมี เดชอำนาจ เจริญหน้าที่การงาน เป็นที่รักใครแก่ฝูงชนทั้งหลาย กันอสรพิษทำร้ายคนในบ้าน และผู้ที่เคารพบูชาผ้ายันต์นวะภาทั้ง๙นี้ กันดวงตกได้ดีอีกด้วย เพราะเหมือนเราได้บูชาดาวนพพระเคราะห์ทั้ง9ดวง แต่กันคนที่หมดอายุไข และผลแห่งวิบากกรรมแต่อดีตไม่ได้นะครับ เพียงแค่ช่วยบรรเทาเคราะห์ร้ายที่หนักกลายเป็นเบา และเบาก็หายไป สิ่งที่พิเศษไปกว่านั้นครูบาขันแก้ว และอาจารย์หมอสมสุข จึงนำภาพของพระเจ้าแดง เพื่ออันเชิญบารมีของพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ประจำวัดสันพระเจ้าแดงและครูบาขันแก้วเอง มาเป็นอำนาจพลังแห่งคุณพระรัตนะไตรที่ครบถ้วนสมบูรณ์ เพราะครูบาขันแก้วท่านเล็งเห็นว่ากาลในอนาคตนี้จักเกิดภัยต่างๆ จึงสร้างผ้ายันต์นวะภาทั้ง๙ขึ้นให้ลูกศิษย์เคารพบูชากัน
เห็นไหมละครับว่า ยันต์พระเจ้าแดงนวะภาทั้ง๙ หรือ แสงสว่างทั้ง9 ดียังไง ไม่ได้เป็นเพียงแค่เศษผ้าธรรมดาและหลายคนประมาทมองข้ามอีกต่อไปแล้วไช่ไหมครับ
ในส่วนพระคาถาบูชายันต์นวะภาทั้งเก้าหลายๆที่ไม่ได้บอกไว้ แต่....ผมไปเจอปั๊บสาเก่าเล่มหนึ่งเป็นของพ่อหนานเงา ไชยศรี บ้านฉางข้าวน้อย อ.ป่าซาง จ.ลำพูน และตำราเก่าของท่านพระครูพิศาลพุทธิธร(สุดใจ จันทรํสี)อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าซางงาม อ.ป่าซาง จ.ลำพูน เป็นตำราที่สืบทอดมามาแต่รุ่นก่อนท่านได้กล่าวไว้เหมือนกันทั้ง2เล่มว่า ยันต์นวะภา เป็นของสูง ไว้ในสถานที่ใดจักร่มเย็นที่นั่น กันฟ้ากันไฟ พึงสวดมนต์ภวนาเป็นนิจด้วยให้บูชาพระรัตนไตร เสร็จแล้วสวดด้วยบท ชยันโต.......คือ
ชะยันโต โพธิยา มูเล สักยานัง นันทิวัฑฒะโน เอวัง ตวัง วิชะโย โหหิ ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล อะปะราชิตะปัลลังเก สีเส ปะฐะวิโปกขะเร อะภิเสเก สัพพะ พุทธานัง อัคคัปปัตโต ปะโมทะติฯ สุนักขัตตัง สุมังคะลัง สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง สุขะโณ สุมุหุตโต จะ สุยิฏฐัง พรัมหมะจาริสุ ปะทักขิณัง กายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณัง ปะทักขิณัง มะโนกัมมัง ปะณิธีเต ปะทักขิณา ปะทักขิณานิ กัตวานะ ละภันตัตเถ ปะทักขิเณฯ
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะพุทธานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เตฯ
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะธัมมานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เตฯ
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะสังฆานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เตฯ
ประเสริฐนัก จะอธิฐานสิ่งใดก็ตามจักสมความมุ่งมาตรปรารถนา(ตำราเขากล่าวไว้แบบนี้)
อ้อ...ลืมบอกไปว่า ตะกรุดเก้ากลุ่มหรือตะกรุดที่มัดรวมกัน๙ดอกนั้นไม่ได้เกี่ยวกับยันต์นวะภาทั้ง๙เลยนะครับ ข้างในตะกรุดเป็นการจารอักขระอีกย่างซึ่งไม่เกียวกันเลย บางคนเห็นยันต์๙กลุ่มเลยตีเรียกว่า “ตะกรุดยันต์นวะภา๙กลุ่ม”ไปซะงั้น
อีก1ข้อสำคัญที่อยากจะเขียนมานานแล้วว่า เคยเห็นหลายๆท่านเอาผ้ายันต์พระเจ้าแดงนวะภาทั้ง๙ของครูบาขันแก้ว มาขาย แล้วบอกว่าเป็นผ้าห่อศพเพราะอยากขายของเพื่อเพิ่มมูลค่าความขลังขึ้นไปอีก ขอบอกตรงนี้ว่าไม่มีนะครับอาจารย์หมอสมสุข ท่านไม่เคยนำของแบบนั้นมาทำผ้ายันต์เลยสักครั้ง
สุดท้ายนี้ผมต้องขอกราบขอบคุณ ครูบาขันแก้ว อุตตฺโม อาจารย์หมอสมสุข คงอุไร ที่ได้สร้างผ้ายันต์นวะภาทั้ง๙ให้ลูกศิษย์ได้บูชากันเพื่อคุ้มครองผู้ที่เคารพพระรัตนะไตร บิดามารดา ครูบาอาจารย์และบุคคลทั้งหลายที่เดินทางในศีลธรรมอันดีนี้อยู่ ขอกราบขอบคุณพระอาจารย์ชนินทร์ ชนินโท ผู้เป็นยิ่งกว่าพ่อ ยิ่งกว่าครูของผม (ธันชนก)และท่านก็ยังเป็นครูบาอาจารย์ของคณะศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก ที่ยังคอยสอนสั่งเรื่อยมาตามรอยแห่งครูบาอาจารย์ในคณะศิษย์รัศมีพรหมโพธิโกไว้ ขอบคุณตำรายันต์นวะภาทั้ง๙จากหลายๆสำนัก พ่อครูอาจารย์ที่เมตตาอธิบายเชิงนัยยะแห่งยันต์ให้ฟัง ขอบคุณตำราของ วัดป่าซางงาม อ.ป่าซาง จ.ลำพูน ตำราของพ่อหนานเงา ไชยศรี บ้านฉางข้าวน้อยใต้ อ.ป่าซาง จ.ลำพูน(ท่านพระครูพิศาลพุทธิธร(สุดใจ) พ่อหนานเงา ไชยศรี ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวอ้างถึง ท่านมีตัวตนจริงในอดีตไม่ได้กล่าวอ้างมาลอยๆเพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ) ขอบคุณท่านผู้ติดตามข้าพเจ้า ธันชนก ร้าน อักษรธรรม ที่คอยเป็นกำลังใจให้ข้าพเจ้าเสมอมา ขอบคุณศิษย์รุ่นพี่ในคณะศิษย์รัศมีพรหมโพธิโกทุกท่านที่คอยให้ข้อมูลข้าพเจ้าเพื่อจะนำเสนอเรื่องของครูบาขันแก้ว และข้อมูลครูบาอาจารย์ต่างที่คณะศิษย์รัศมีพรหมโพธิโกเดินทางกราบสักการะตลอดมาจากภาคเหนือสู่ภาคใต้ ผมจะขอเดินเส้นทางนี้ต่อไป
ในส่วนท่านผู้ที่เข้ามาอ่านหรือศึกษาข้อมูลที่ผมได้เขียนไปแล้วนั้น อย่างพึ่งเชื่อที่ผมได้เขียนไปในทันทีนะครับ ขอให้ท่านจงคิดตามแนวพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้า ทรงตรัสไว้ในบท “กาลามสูตร”(ไปค้นในgoogleเองนะครับ ว่ามีอะไรบ้าง) ส่วนจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ขึ้นอยู่กับปัญญาในการพิจารณาของท่านเอง และผมก็ไม่ได้มีอำนาจใดที่จะขอให้ท่านเชื่อ ก็คิดว่าอ่านเอาสนุกก็แล้วกัน ขอบารมีครูบาขันแก้วรักษาท่านผู้ที่รักครูบาขันแก้วครับ
จากใจ .............. ธันชนก ร้าน อักษรธรรม
|