พระสังกัจจายน์กรุวังหน้า (ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติสนามหลวง)
ผู้สร้างคือกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ( วังหน้า ) ในสมัยรัชกาลที่ 4 พิมพ์สวยงามมาก เพราะแกะโดยช่างสิบหมู่ของหลวง เนื้อพระสวยงาม พระส่วนใหญ่มีปิดทองเก่า มีคราบกรุแทบจะทุกองค์ มีความเก่าในองค์พระ มวลสารประกอบด้วยปูนเพชรนำเข้าจากเทือกเขาฮันซุยประเทศจีน ผงวิเศษหรือผงมูลกัจจายน์ เศษทองคำซึ่งได้มาจากหน่วยสุวรรณกิจ เป็นหน่วยงานทำทองในพระราชวัง เหล็กไหล หรือขี้เหล็กไหล จ้าวน้ำเงิน (สันนิฐานว่า มีการอาราธนาคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) และ หรือ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี และ หรือ กลุ่มหลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ (เช่น หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน , หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า , หลวงปู่ภู วัดอินทรวิหาร , หลวงปู่กรมพระยาปวเรศ เป็นต้น) อธิษฐานจิต ระหว่างปี พ.ศ.2400- 2428 หรือ พระที่สร้างขึ้นที่วังหลวง นำเข้าพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวงที่ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม(วัดพระแก้ว) ปี พ.ศ.2429-2434 พระพิมพ์ของหลวงปู่เทพโลกอุดรนั้น ทุกรูปแบบ ทุกพิมพ์ ทรงมีอานุภาพครอบจักรวาล เหมือนเป็นทิพย์สมบัติอันทรงคุณค่าเหมือนมีแก้วสารพัดนึกอยู่กับตัว ถือได้ว่าเป็นพระพิมพ์สกุลสูงยุครัตนโกสินทร์ ด้วยดำเนินการสร้าง ทำพิธีพุทธาภิเษก เก็บรักษาไว้ ณ วังหน้า (วัดบวรสถานสุทธาวาส) และวังหลวง (วัดพระแก้ว) เป็นพระพิมพ์ที่งดงามด้วยพุทธศิลป์ โดยช่างหลวงในยุคสมัยนั้นได้สรรสร้างงานชั้นดี ด้วยจินตนาการล้ำเลิศ ทั้งมีผู้ทรงภูมิธรรมสูงส่ง ได้อธิษฐานจิต ปลุกเสก ไว้สืบอายุพระพุทธศาสนา จึงเป็นมรดกทางพระพุทธศาสนาบนแผ่นดินสยาม ควรค่าแก่การอนุรักษ์และรักษาไว้ให้ลูกหลานตราบนานเท่านาน
สำหรับพิมพ์อรหันต์ พิมพ์ปิดตา และพิมพ์มหากัจจายนะซึ่งเป็นองค์เดียวกันแต่ปางต่างกันหากจะอาราธนาอย่างพิศดารก็ย่อมกระทำได้ กล่าวคือพิมพ์อรหันต์ใหญ่ พิมพ์อรหันต์กลางและพิมพ์อรหันต์น้อย อยู่ในหมวดพระมหากัจจายนะรูปงามซึ่งเป็นรูปเดิมก่อนการอธิษฐานวรกายให้ต่อท้ายด้วยคาถาดังนี้
พิมพ์อรหันต์
อรหันติกัจจายนะเถโร มหาโภโค มหาลาโภ รูปะวะระเชยยะสิทธิเม (เชยยะ อ่านว่า ไชยะ ; รูปะวะระ แปลว่า รูปงาม)
*** โลกุตตะโร ปัญจะ มหาเถโร อะหัง วันทามิตัง สะทา อรหันติกัจจายนะเถโร มหาโภโค มหาลาโภ รูปะวะระเชยยะสิทธิเม ***
สำหรับสำหรับพิมพ์พระปิดตาซึ่งเป็นปางอธิษฐานวรกายให้สวดพระคาถา โลกุตตะโร ปัญจะ มหาเถโร อะหัง วันทามิตัง สะทา แล้วต่อท้ายด้วยพระคาถาต่อไปนี้
พิมพ์พระภควัมปติ(ปิดตา)
ควัมปติ จะ มหาเถโร มหาโภโค มหาลาโภ เชยยะสิทธิเม
*** โลกุตตะโร ปัญจะ มหาเถโร อะหัง วันทามิตัง สะทา ควัมปติ จะ มหาเถโร มหาโภโค มหาลาโภ เชยยะสิทธิเม ***สำหรับพิมพ์พุงพลุ้ยที่นิยมเรียกกันว่า พระสังกัจจายน์ คำนี้ไม่มีศัพท์นี้ในภาษาบาลี ที่ถูกต้องคือ พระมหากัจจายนะ เถระเจ้าอัน
เป็นปางหลังจากที่นิมิตวรกายแล้ว ให้สวดพระคาถา โลกุตตะโร ปัญจะ มหาเถโร อะหัง วันทามิตัง สะทา แล้วต่อท้ายด้วย พระคาถาต่อไปนี้
อรหันติกัจจายนะเถโร มหาโภโค มหาลาโภ เชยยะสิทธิเม
***โลกุตตะโร ปัญจะ มหาเถโร อะหัง วันทามิตัง สะทา อรหันติกัจจายนะเถโร มหาโภโค มหาลาโภ เชยยะสิทธิเม ***
จะเห็นว่าตัดเอาคำว่า รูปะวะระออกไปเพราะสิ้นความงดงามแล้ว
พระพิมพ์ของคณะพระเทพโลกอุดรนั้นทุกรูปแบบทุกพิมพ์ทรงมีอานุภาพครอบจักรวาล อาราธนาทำน้ำมนต์ประสิทธิ์ยิ่งนัก โดยให้นำเอาพระแช่ในภาชนะที่บรรจุน้ำเรียบร้อยแล้ว บูชาด้วยดอกไม้ จุดธูปเทียน แล้วอธิษฐานตามความมุ่งหมาย เสร็จแล้วให้รีบนำพระขึ้นเช็ดน้ำด้วยสำลีหรือผ้าสะอาด ผึ่งลมให้แห้งก่อนนำไปบรรจุตลับ องค์พระจะไม่ละลายลบเลือนและไม่ควรแช่ในน้ำนานเกินควร จงทะนุถนอมให้จงดี เพราะหาไม่ได้อีกแล้ว
สำหรับท่านที่มีพระอันเป็นทิพยสมบัติอันทรงคุณค่า โดยได้รับสืบทอดมาจากบรรพชนหรือได้รับจากทางใดทางหนึ่งก็ตาม เสมือนมีแก้วสารพัดนึกอยู่กับตัว ไม่จำเป็นต้องขวนขวายในอิทธิวัตถุอื่นอีก
องค์นี้เนื้อชิน(คนโบลานใช่ให้พร้องเสียงกับคำว่า “ชนะ”)ตะกั่วไขขาว ดูแล้วบริสุทธิ์ตาเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากพระลงกรุและผ่านเวลากาลมาเนินนานมากแล้วจึงมีเนื้อพระอย่างที่เห็นนี้ละครับ
|