ลูกอมปรอทกินทอง หลวงพ่อศรีอ่อง วัดบรรพตสถิตย์ ลำปาง ยุคแรก
"สุดยอดเรื่องรางแห่งการรักษาธาตุ แก้โรคภัย"
“ปฐมบทตำนานเครื่องรางโบราณแห่งล้านนา ความหายากระดับตำนาน พุทธคุณดี มีประสบการณ์ หายากสภาพเดิม” #รับประกันความแท้ตลอดชีวิต
#ปรอทกินทอง หรือ หลวงพ่อศรีอ่อง วัดบรรพตสถิตย์ ลำปาง ยุคแรกครับ
หลวงพ่อศรีอ่องท่านเริ่มทำปรอทกินเงิน และ ปรอทกินทอง ตั้งแต่สมัยจำพรรษาที่วัดเอี่ยมวรนุช มีอยู่สองชนิดคือ ปรอทกินเงินและปรอทกินทอง
ท่านจะนำปรอทไปแช่ในพิษหลากชนิดแล้วจึงเสกให้ปรอทฆ่าพิษตามตำรา จากนั้นนำปรอทที่ได้มาทำพิธีทางไสยเวทย์โบราณ โดยท่านใช้ทองคำล่อให้ปรอทกินทอง(ทองคำแท้)จนอิ่มตัว หากเป็นเงินบริสุทธิ์ก็จะออกมาเป็นปรอทกินเงิน จากนั้นนำไปเททรายจะได้ปรอทในกองทราย แล้วจึงมาแต่งให้เข้ารูป ปรอทกินทองและปรอทกินเงินหรือบางท่านเรียกปรอทหัวแหวน
อาณุภาพนั้นใช้ได้หลายทางดังนี้
1.ดีทางแคล้วคลาดคงกระพัน ป้องกันกระดูกหัก จากอุบัติเหตุ
2.ป้องกันพวกภูติผีปีศาจและ อมนุษย์ อสุรกาย
3.ป้องกันยาพิษต่างๆ
4.ใช้เสริมดวงและอธิษฐานเสี่ยงทายเกี่ยวกับดวง เมื่อใดดวงขึ้น ทองจะสุกใส เมื่อดวงตก ทองจะหมองคล้ำ
5.ขับพิษต่างๆที่ร่างกายได้รับเช่น เมื่อถูกสัตว์มีพิษกัดให้เอาปรอทกินทอง กินเงิน ปิดปากแผลดูดพิษ
6.รักษา และปรับสมดุลธาตุในตัว
คุณวิเศษหลัก 5 ประการของปรอทกินทอง
1.ควรนำไปทำเป็นแหวนหรือจี้เพื่อให้สัมผัสกับร่างกายเพื่อให้ปรอทสามารถช่วยเหลือเกื้อหนุนผู้เป็นเจ้าของอย่างเต็มที่ สามารถขับพิษร้ายที่ตกค้างอยู่ในร่างกายออกไป ทำให้มีกำลังวังชา ใช้สวมใส่เวลานอนหลับ ทำให้นอนหลับสบาย ตื่นมาด้วยความสดชื่น
2.ป้องกันสิ่งอัปมงคล อำนาจคุณไสย์มนต์ดำ ภูตผีปีศาจร้าย อันตรายทั้งปวงไม่ให้มากร้ำกรายราวี ทั้งยังป้องกันภยันตราย แคล้วคลาดจากอุบัติเหตุเภทภัย เป็นคงกระพันชาตรี ศัตรูหมู่คนพาลแพ้ภัยตนเอง ป้องกันอสรพิษ สัตว์มีพิษทั้งหลายตลอดจนเขี้ยวงาต่างๆได้
3.ปรับสมดุลธาตุทั้ง๔ในร่างกายให้สม่ำเสมอ ไม่เจ็บป่วยง่าย มีสุขภาพดี ทั้งยังเสริมธาตุทองในตัว ช่วยเสริม อำนาจ วาสนา บารมี เสน่ห์ โชคลาภ หนุนดวง ให้ทำมาหากินเจริญรุ่งเรือง เสริมในสิ่งที่ขาด เสริมสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น เพราะทองเป็นธาตุที่เข้าได้กับทุกธาตุไม่ว่าอยู่กับธาตุไหนก็ทำให้ธาตุนั้นมีค่า ส่องสว่างมากยิ่งขึ้น
4.เสริมดวงชะตาราศี เวลาดวงชะตาขึ้น ปรอทกินทองนี้จะสุกใสเปล่งประกายทอง เวลาดวงตกเคราะห์ร้ายตามอิทธิพลของจักรราศี ปรอทกินทองจะหม่นหมองคล้ำดำลง เมื่อสีสันของปรอทกินทองคล้ำลงให้นำปรอทกินทองไปแช่ในน้ำส้มป่อยแล้วอาราธนาคุณครูบาอาจารย์และเทพเทวดาผู้อารักษ์รักษาปรอทช่วยเสกน้ำให้เป็นน้ำมนต์อาบตัว แล้วควรทำบุญสะเดาะเคราะห์เสีย จะดีนักแล
5.เวลาจะเดินทางไปไหน ให้นำน้ำหอมมาประพรมลูบทาที่ปรอทกินทองแล้วอธิษฐานจะสมดังใจเราแล เมื่อบูชาปรอทกินทองเจ้าของควรไหว้พระสวดมนต์อยู่เสมอหรือสวดบทพระพุทธคุณ อิติปิโสวันละ3รอบจะดียิ่งๆขึ้นไปอย่างมากนักแล
ปรอทกินทองยุคต้น หลวงพ่อศรีอ่อง ยุคต้นท่านจะใช้กองทรายเป็นพิมพ์กอ่น แล้วพัฒนามาเป็น เตาเผาและเบ้าดินเผา ตามลำดับ
ยุคแรก ยังขาดความสวยงามอยู่มาก ไม่ขัดแต่งผิว มีรอยขลุขละ จาก ทราย และเบ้าหลอม
ยุคหลังสุด ได้พัฒนาเครื่องมือหลายอย่าง ส่วนผสมคงที่ และ ได้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ มีจำนวนมาก พอเพียงต่อศิษย์และผู้มีติจตศรัทธา ทั้งในและนอกพื้นที่ จึงมีการขัดเงา แต่งผิว ความสม่ำเสมอของเนื้อปรอท และความสวยงานตามที่เห็นในปัจจุบัน
ฉายา"เมฆสิทธิ์แดนล้านนา" สุดจี๊ดทุบจากเบ้าผิวเดิมๆไร้การตกแต่ง
ปรอทกินทองการเสกต้องนิมนต์พระถึงร้อยรูปทำพิธีแค่นี้ก็สุดยอดแล้วครับ
หลวงพ่อศรีอ่องได้เคยเล่าให้คุณไทยดำ นักเขียนนิตยสารญาณวิเศษ(นิตยสารในเครือโลกทิพย์) ฟังว่า การทำปรอทให้แข็งตัวนั้นง่ายมาก โดยผสมธาตุอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น แร่เงิน ทอง หรือทองแดง ลงไป เดี่ยวก็แข็งตัวเป็นก้อนกลมได้ พอแห้งแล้วเอามาขัดผิวก็จะเป็นมันปลาบมีลักษณะลื่นได้ หรืออีกอย่างหนึ่งคือใช้สมุนไพรบางชนิดที่มีแร่ชนิดหนึ่ง เช่น ใบกระเม็ง ที่มีแร่เหล็กมาทำให้แข็งตัว แต่นั่นก็ไม่ใช่ปรอทสำเร็จที่มีอภินิหารตามที่ต้องการกัน
กรรมวิธีฆ่าปรอทแล้วเลี้ยงด้วยทองคำนี้มีอยู่ในคัมภีร์โหราศาสตร์พม่าและวิชาโลกะหิตะอัคคิยะศาสตร์ ถ้าลงมือทำแล้วก็สิ้นเปลืองเงินทองมาก ทั้งค่าอุปกรณ์เครื่องมือเช่น เตาเผาและเบ้าดินขนาดต่างๆ รวม 10 ชุด รวมถึงสารพิษต่างๆ ที่ในตำราบอกไว้
ดังนั้น การทำปรอทสำเร็จจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้ที่จะศึกษาวิชานี้จะต้องมีความอดทน พากเพียร ตอนหุงปรอทต้องคอยเฝ้าดูอย่างน้อยก็ 4-5 เดือนอีกทั้งยังต้องมีสมาธิจิตที่มั่นคงแน่วแน่จึงจะสำเร็จ อย่างน้อยต้องได้ฌาน 4 จึงจะพอข่มบังคับปรอทเอาไว้ได้ ปรอทที่สำเร็จแล้วนั้นจะส่งเสียงร้องเจี๊ยบๆ ให้ได้ยินถ้าข่มบังคับไว้ไม่ได้ก็อาจจะหายหรือโดนพวกวิทยาธรขโมยไปได้
การหุงปรอทสำเร็จนั้น ท่านเล่าว่ามีหลายระดับ ถ้าสำเร็จขั้นสูงก็สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ขั้นรองลงมาคือ ป้องกันอันตรายต่างๆ ทำให้มีอายุยืน ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน ซึ่งตัวท่านทำได้แค่ขั้นนี้อันตรายของวิชานี้ คือ ปรอทระเบิด เนื่องจากใช้ความร้อนสูงเกินไป ทำให้เสียสติ เป็นบ้า และตาบอดได้ แม้แต่ตัวท่านเองก็เคยได้รับอันตรายจากการระเบิดของปรอทมาแล้ว 3 ครั้ง ถ้าไม่มีหน้ากากป้องกันไอพิษ ถุงมือ และเสื้อคลุมป้องกันไว้ ตัวท่านก็คงจะพิการไปนานแล้ว
ท่านสร้างตามตำราพม่าของพระมหาฤาษีภูภูอ่อง แต่เดิมท่านเคยบวชเป็นพระภิกษุในบวรพระพุทธศาสนา มีนามว่า " ญาณรังสี " แต่ต่อมาท่านพิจารณาเห็นว่าการที่พระภิกษุอยู่ในป่า บางครั้งก็มีเหตุให้จำต้องล่วงอาบัติของพระพุทธองค์อยู่เนืองๆ ก็ให้รู้สึกไม่สะดวกใจด้วยเกรงจะเป็นบาปเป็นกรรม ท่านจึงลาสิกขาออกมาถือพรตเป็นฤาษี พร้อมตั้งใจประพฤติพรหมจรรย์รักษาศีล 8 ได้เป็นอย่างดี จนบรรลุอภิญญาสมาบัติขั้นสูงสุด จนได้สำเร็จฤทธิ์อันยอดยิ่ง ด้วยเหตุถึง 4 สถาน คือ
1. ยา (รอบรู้ในตัวยาสมุนไพร และว่านยาที่มีฤทธิ์ทุกประเภทอย่างเจนจบ)
2. ยันต์ (ปรีชาในอักขระคาถายันต์อันศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวง)
3. ปรอท (สำเร็จในการเรียกและใช้ปรอท ธาตุกายสิทธิ์ที่มีฤทธิ์กว่าธรรมดา จนถึงขั้นเหาะเหินเดินอากาศได้)
4. ประคำ (เครื่องช่วยกำหนดจิตภาวนาให้บังเกิดสมาธิจิต อันเป็นบาทฐานแห่งอภิญญาฤทธิ์ ซึ่งเป็นของมีมาเก่าแก่ สืบทอดมาแต่โบราณกาลนับเป็นพันๆ ปี)
พระมหาฤาษีภูภูอ่อง เป็นผู้ที่มีฤทธิ์มาก ทุกวันนี้ก็ยังดำรงสังขารอยู่ ในสมัยนั้นท่านได้สำแดงฤทธานุภาพเหาะขึ้นไปนมัสการพระมหาเจดีย์ชเวดากองให้ผู้คนชาวพม่าเห็นเป็นอัศจรรย์ และได้ลงมหายันต์ “ สะตะปะวะ ” ที่ยอดเจดีย์ชะเวดา
หลวงพ่อจะสร้างให้ศิษย์ใกล้ชิดและนับถือที่ขอให้ท่านทำให้เท่านั้น มิได้ทำออกให้บูชาแต่อย่างใด จำนวนการสร้างจึงน้อยมาก เนื่องจากผู้ที่อยากได้ต้องเตรียมการอย่างถูกต้องตามตำราและที่สำคัญคือต้องใช้ต้นทุนในการจัดหาทองคำแท้หรือเงินบริสุทธิ์มาเอง
คาถากำกับปรอทกินทอง "จิเจรุนิ กัณหะเนหะ"
กอง เพื่อป้องกันมิให้ฟ้าผ่าและหลายๆ อย่าง จนพระเจ้าบุเรงนองเกิดพระราชศรัทธาถวายตัวเป็นศิษย์ และได้ทรงแต่งตั้งให้เป็นมหาราชครู
ขออนุญาติลงข้อมูลที่หลากหลายและเผยแพร่บารมีครูบาอาจารย์ครับ ข้อมูลและวิธีการใช้ติดตามได้ใน ปรอทกินเงิน-ปรอทกินทอง ครับ
|